วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การบ้านหาคำศัพท์ Network ครั้งที่ 7 นายเอกชัย ไชยวิทย์ รหัสนักศึกษา 2561051542304

คำศัพท์เกี่ยวกับระบบ Network



1. Fast Ethernet  ได้รับการพัฒนาให้สามารถเพิ่มความเร็วในการรับ/ส่งข้อมูลที่ 100 Mbps ซึ่งยังคงเป็นมาตรฐานหลักในปัจจุบัน เหมาะสาหรับการติดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในบ้าน หรือสานักงานขนาดเล็กและขนาดกลาง
     
2. Gigabit Ethernet  เป็นชื่อเรียกเทคโนโลยีเครือข่ายแลน ตามความเร็วในการรับ/ส่งข้อมูลที่ได้ คือ 1 Gbps (Gigabits per Second) หรือ 1,000 Mbps (Megabits per Second) ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐาน IEEE 802.3-2005 โดยแบ่งออกเป็นมาตรฐาน IEEE 802.3z และ IEEE 802.3ab จะเป็นการเชื่อมต่อในลักษณะโทโปโลยี แบบดาว (Star) และแบบวงแหวน (Ring)
     
3. Wi-Fi (ย่อมาจากคาว่า Wireless Fidelity) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันโดยใช้คลื่นวิทยุแทนการใช้สายในการรับส่งข้อมูลทาให้สามารถผ่านอากาศ ทะลุกาแพง เพดานหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ เนื่องจากไม่ต้องเดินสายสัญญาณทาให้การเคลื่อนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นทาได้โดยสะดวก
      
4. Access Point คือ อุปกรณ์กระจายสัญญาณเป็นตัวกลางสาหรับการเชื่อมต่อซึ่งทาหน้าที่คล้ายกับฮับของระบบแลนแบบมีสาย ในปัจจุบันมีอุปกรณ์ Access Point หลายรุ่นที่ทาหน้าที่เหมือนเราท์เตอร์เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ด้วย ทาให้นอกจากจะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายไร้สายแล้วยังสามารรถแชร์อินเทอร์เน็ตร่วมกันได้ สาหรับจานวนเครื่องที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายแลนนั้น จะได้มากถึง 128 เครื่องต่อหนึ่งเครือข่าย

5. Cellular Radio  เป็นสื่อกลางการสื่อสารแบบไร้สายที่สามารถแพร่ได้บนระยะทางไกล เช่น ระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศ และยังไม่รวมถึงการแพร่บนระยะทางสั้นๆ  อย่างไรก็ตาม คลื่นวิทยุนั้นมีความเร็วค่อนข้างต่า อีกทั้งไวต่อสัญญาณรบกวน แต่ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง สะดวกต่อการใช้งาน และผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
        
6. Microwave  การส่งสัญญาณข้อมูลไปกลับคลื่นไมโครเวฟเป็นการส่งสัญญาณข้อมูลแบบรับช่วงต่อๆ กันจากหอ (สถานี) ส่ง-รับสัญญาณหนึ่งไปยังอีกหอหนึ่งแต่ละหอจะครอบคลุมพื้นที่ รับสัญญาณประมาณ 30 - 50 กม.
        
7. Satellite  ลักษณะของการรับส่งสัญญาณข้อมูลอาจจะเป็นแบบจุดต่อจุด (Point-to-Point) หรือแบบแพร่สัญญาณ (Broadcast) สถานีดาวเทียม 1 ดวง สามารถมีเครื่องทบทวนสัญญาณดาวเทียมได้ถึง 25 เครื่อง และสามารถครอบคลุมพื้นที่การส่งสัญญาณได้ถึง 1 ใน 3ของพื้นผิวโลก เครื่องทบทวนสัญญาณของดาวเทียมเรียกว่า (Transponder) ไปยังสถานีปลายทาง การส่งสัญญาณข้อมูลขึ้นไปยังดาวเทียมเรียกว่า "สัญญาณอัปลิงก์" และการส่งสัญญาณข้อมูลกลับลงมายังพื้นโลกเรียกว่า "สัญญาณ ดาวน์-ลิงก์"
       
8. Point-to-Point  คือ การรับ-ส่งสัญญาณข้อมูล ภาพ และวีดีโอภาพ ผู้ใช้สามารถรับ-ส่งสัญญาณถึงกันได้ด้วยความเร็วสูง ทั้งต้นทาง  และปลายทาง ทั้งนี้ผู้ใช้บริการสามารถรับ-ส่ง สัญญาณข้อมูลระหว่างสาขาได้ โดยใช้สำนักงานใหญ่ เป็นสื่อกลางในการรับ-ส่งข้อมูลถึงกัน
       
9. Broadcast  คือสถานีบริการหนึ่งสามารถส่งกระจายข่าวสารมัลติมีเดียไปให้กับผู้ขอใช้บริการ (client) ได้ทุกเครื่องบนเครือข่ายในขณะเดียวกัน เช่นถ้า เชิร์ฟเวอร์เป็นสถานีบริการทีวี ก็จะกระจายไปยังผู้ชมที่อยู่บนเครือข่ายได้ทุกคน เป้าหมายที่สำคัญต่อมาคือ ต้องการให้ผู้ชมมีปฏิสัมพันธ์ได้ หรือโต้ตอบกลับได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ ผู้ชมสามารถร่วมเล่นเกมโชว์จากทางบ้านได้ 
       
10. Bluetooth  ลักษณะของบลูทูธเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1998 ใช้ความถี่ในการส่งสัญญาณข้อมูล 2.5 GHz. สื่อสารได้ในระยะทางไม่เกิน 10 เมตร สื่อสารระหว่างอุปกรณ์หลายๆ อุปกรณ์ได้
       
11. Infrared  ลักษณะของแสงอินฟราเรดเป็นคลื่นความถี่สั้น ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับคลื่นไมโครเวฟตรงที่การส่งสัญญาณเป็นแนวเส้นตรงในระดับสายตาเหมือนกัน คลื่นอินฟราเรดนิยมนามาใช้งานสาหรับการสื่อสารระยะใกล้ โดยมีอุปกรณ์หลายชิ้นในปัจจุบัน เช่น รีโมตคอนโทรล คอมพิวเตอร์ และรวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องพิมพ์ เมาส์ และกล้องดิจิทัล ซึ่งจะมีพอร์ต IrDA ที่ใช้สาหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่สื่อสารด้วยคลื่นอินฟราเรด
       

12. Wireless  หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การบ้านหาคำศัพท์ Network ครั้งที่ 6 นายเอกชัย ไชยวิทย์ รหัสนักศึกษา 2561051542304


คำศัพท์เกี่ยวกับระบบ Network



1. Computer Network หมายถึง  ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์  หรือ ระบบเครือข่าย (Network) ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องที่มีความสามารถติดต่อกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้   โดยติดต่อผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายไฟฟ้า หรือผ่านทางสื่อแบบอื่นๆ ได้แก่ โมเด็มไมโครเวฟสัญญาณอินฟราเรด

2. Share Disks pace เป็นการใช้งานร่วมกันของเนื้อหาของที่ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ซึ่งรวม Hard disk และ CD ROMS (Computer-Disk Read-Only Memory) ซึ่งจะใช้ Hard disk หรือ CD ROMS จากเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) ที่เรียกว่า File Server โดย File Server นี้จะเป็นเครื่องที่ใช้ในการเก็บข้อมูล (Data) ของ User และ Software ของระบบทั้งหมด รวมทั้งควบคุมการทำงานของระบบ Network ด้วย

3. Share Printer เครื่องพิมพ์ เป็นอุปกรณ ต่อพ่วง (Peripherals) ที่ใช้งานมากที่สุดโดยเฉพาะในปัจจุบันมี Printer ราคาสูงเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะ Laser Printer และเครื่องพิมพ์ สี (Color Printer) ซึ่งมีราคาแพงและจะเป็นที่จะต้องนำมาใช้งานร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน สูงสุด

4. Share Communication Devices เป็นอุปกรณ์ สื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ มาใช้ร่วมกัน เช่น Modem ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนถ่ายข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกันโดยอาศัยสายโทรศัพท์  นอกจาก Modem แล้วอุปกรณ มีอีกอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้คือ FAX โดยสามารถที่จะทำการพิมพ์ข้อมูลที่ Workstation ส่วนตัวและส่งผ่านข้อมูลผ่านระบบ Network ไปที่เครื่อง FAXได้ทันทีโดยไม่ต้องพิมพ์ ลงกระดาษแล้วเดินไปส่ง FAX ที่เครื่อง FAX อื่นๆ อีกต่อไป 

5. Share Software Packages  เป็นการใช้ซอพต์แวร์ต่างๆร่วมกันผ่านระบบเครือข่าย  ซึ่งเครื่องหลักจะสามารถแชร์วซอพต์แวร์ไปยังเครื่องอื่นๆในระบบเดียวกันให้ ใช้งานเร่วมกันซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้
       
6. Workstation เวิร์กสเตชัน (Workstation) ถ้าแปลก็จะหมายถึง “สถานีงาน” แต่เป็นสถานีงานที่ประกอบกันขึ้นมาด้วยระบบคอมพิวเตอร์นั่นเอง อันที่จริงแล้วเครื่องเวิร์กสเตชันก็ถือเป็นคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งในสมัยก่อนถือว่ามีความโดดเด่นมาก เพราะคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นจะถูกใช้งานในด้านธุรกิจ หรือในบริษัทและองค์กร โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในองค์กรก็จะมีลักษณะเป็นเทอร์มินัล หรือไคลเอ็นต์ ซึ่งไม่ได้มีความสามารถในการประมวลผลทั้งหมดได้เหมือนกับพีซีปัจจุบัน หรือมีประสิทธิภาพต่ำ ทุกสิ่งถูกประมวลผลผ่านเซิร์ฟเวอร์เป็นหลัก เพราะงานส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นการประมวลผลอะไรมากอยู่แล้ว
     
7. Concurrent User License หมายถึง Software ที่ระบุจำนวน User ที่สามารถใช้งานได้สูงสุดบนระบบ Network เช่น แบบ 20 Copy นั้นหมายถึง User สามารถใช้งาน Software ตัวนี้ สามารถ    ใช้งานได้พร้อมกัน 20 คน
     
8. Per User License หมายถึง Software ที่จะต้องระบุจำนวน User ลงไปเลยว่าต้องการใช้เท่าใด แต่ในการทำงานจริงๆ แล้วจะใช้กี่คนพร้อมกันก็ได้
     
9. Share Data หมายถึง การใช้ข้อมูลร่วมกัน  แต่ละคนจะสามรถเรียกใช้ข้อมูลซึ่งกันและกันได้ทันที แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกำหนดสิทธิในการเรียกใช้ข้อมูลของแต่ละ User ซึ่งจะสามารถกำหนดได้ว่า User คนใดจะสามารถใช้งานข้อมูลใดได้ถึงระดับใดบ้าง  งานข้อมูลของ User แต่ละคนจะถูกเก็บไว้ในที่เดียวกัน คือ Hard disk ของ File Server
     
10. Mufti-users หมายถึง User สามารถใช้โปรแกรมหรือข้อมูลเดียวกันได้ครั้งละหลายๆ คน

วิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์ ผศ.โสภณ เปียสนิท นายเอกชัย ไชยวิทย์ รหัสนักศึกษา 2561051542304 BIT56 ศูนย์ราชบุรี

แต่งประโยด Health Problems หน้า 48 10 ประโยค


1. Grandmother, I have a lot of a backache.

2. When I walk in the rain today, I get a cold.

3. I'm going to buy cough medicine. I have a cough.

4. Insect my ear an earache.

5. I do not rest my a fever.

6. My sister was the flu.

7. My girlfriend thinks she is a headache.

8. Brother like to drink cold water, so it has a sore throat.

9. I do not eat on time, so there is a stomachache.

10. Granddaughter likes to eat candy have a toothache.



สรุป Grammar


          1. Noun       : ชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ หรือ สถานที่ การกระทำ เช่น Man, Cat, Book
          2. Pronoun   : คำที่ใช้แทน Noun เช่น He, She, It หรือ สัพนามนั่นเอง
          3. Adjective : คำขยายที่ใช้ในการขยายคำนาม เช่น สูง, ต่ำ, ดำ, ขาว, ยาว, สั้น, โง่, ฉลาด, เขียว, เหลือง เช่น

                              Good man. 1. Adjective อยู่หน้าคำนาม
                              He is good. 2. Adjective อยู่หลัง V. to be

          Adjective      สูง, ต่ำ, ดำ, ขาว, ยาว, สั้น   เป็นลักษณะทางกายภาพ
                                โง่, ฉลาด, กล้า, กลัว, ดี       เป็นลักษณะทางจิตใจ
                                ขาว, น้ำเงิน, เขียว, เหลือง, แสด, แดง   เป็นลักษณะสี
           
          สีก็สามารถเป็นคำนามได้เช่น สีขาว, สีดำ, สีเขียว ไม่ได้ไปขยายอะไร

          4. Verb Tenses : กริยากับเวลาอยู่ด้วยกัน กริยาภาษาอังกฤษ มี 3 ช่อง เช่น

                               Verb : 3 Forms เช่น eat ate eaten
                                           eat -------- Present ช่อง 1 เป็น ปัจจุบัน
                                           ate -------- Past      ช่อง 2 เป็น อดีต
                                           eaten ------ Past Participle : ใช้เป็น Adj ได้ เช่น Used car.
                                                                                       : V. ใช้ตามหลัง V. to be
                                                                                       : V. ใช้ตามหลัง V. to have.
                                           Future : อนาคต เช่น will, Shall จะ หรือ กำลัง

          5. Adverb : เป็นกริยาที่ใช้ขยาย Verb เป็นตัวบอกลักษณะของกริยานั้นๆ บอกให้รู้ว่าประธานทำอย่างไรและทำเมื่อไหร่ Verb เป็นตัวที่บอกว่าประธานทำอะไร

                               Adverb 90% จะลงท้ายด้วย Ly

          6. Preposition : คำบุพบท คำเชื่อมระหว่างคำ เช่น และ, ขึ้นอยู่, ยัง เช่น in, on, at เช่น

                               She stay in her hones.     in คือ Preposition (คำบุพบท)

          7. Conjunction : คำสันธาน คือ คำเชื่อมระหว่างประโยค เช่น and, but, or เช่น

                               I and you go to school.     and คือ Conjunction (คำสันธาน)
   
          8. Interjection : คำอุทาน เช่น โอ้....., ว้าว.......


Trip Ratchaburi 2 Day


Trip Ratchaburi


DAY 1 : Ratchaburi Stay Hotel

          7.00 AM     Give food offerings to a Buddhist monk.
          8.00 AM     Break fast.
          9.00 AM     Travel to Siam Cultural Park and see how the jar Ratchaburi.
        12.00 AM     Luncheon.
        13.30 PM     Travel to Suan Phueng take afforest and the resort and feeding sheep.
        17.30 PM     Return to Hotel.
        19.00 PM     Dinner.
        20.00 PM     Rhythmic activities.
        21.00 PM     Back room sleep.

DAY 2 : Ratchaburi Stay Hotel

          7.00 AM     Give food offerings to a Buddhist monk.
          8.00 AM     Break fast.
          9.30 AM     Travel to Cave Chom Phon and go to Boeklueng Hotspring.
        12.30 PM     Luncheon.
        14.00 PM     Travel to stone Mountain Park is Snake.
        17.00 PM     Travel to Khao Chong Pran see Bat at Cave Bat.
        18.00 PM     Dinner. And Back to Home.

End.....
         


CANADA THROUGH THE SEASONS

         

          Spring can arrive in February in Victoria on the west coast. In other parts of Canada, it gets warm in early April, and spring weather continues until June.In British Columbia, you can kayak, camp, or take a train trip through the Rocky Mountains.

          ฤดูใบไม้ผลิมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ ในวิกตอเรียทิศตะวันตกในประประเทศแคนาดา อากาศจะเริ่มอบอุ่นในต้นเดือนเมษายน และฤดูใบไม้ผลิจะเข้ามาในพื้นที่ในเดือนมิถุนายน ของรัฐบริิติชโคลัมเบีย คุณสามารถพ่ายเรือแคยักเล่น และตั้งเต็นท์ หรือจัดทริปรถไฟไปท่องเที่ยวที่เทือกเขาร็อกกี


          S
ummer brings warm to hot weather from May to September. This is a great time to fish in one of Canada's many lakes; kayak among whales in Churchill, Manitoba; or have some Wild West fun at the Calgary Stampede.

          ฤดูร้อนมีอากาศอบอุ่นจนไปถึงร้อนจัดจากเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกันยายนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการตกปลาตลอดเวลาใน ทะเลสาบในแคนาดา และพ่ายเรือแคยักเล่น ในทะเลสาบในจุดที่มีปลาวาฬ ที่ เชอร์ชิล, แมนิโทบา หรือ ท่องเที่ยงชมสัตว์ป่าที่เป็นป่าจริงๆได้ที่ คาลการี ซแท็มพีด


          Fall brings cool temperatures in September and October. It's a good time of year to see the fall leaves in eastern Canada, enjoy hiking, visit museums, or go to the Toronto International Film Festival.

          ฤดูใบไม้ร่วงมีอุณหภูมิที่เย็นในช่วงเดือนกันยายน และเดือนตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่ดีทั้งปี ในสิ่งที่จะมีขึ้นในตะวันออกของ แคนาดา จะได้สนุกกับการเดินทางชมพิพิธภัณฑ์ หรือไปท่องเที่ยวชมเทศกาลภาพยนตร์ของ โทรอนโต อินเทอแนชเชินเนิล ที่เป็นเทศกาลภาพยนตร์ระดับสากล

          Snow begins to fall in November, and temperatures drop. Days are short in winter, but you can ski, go to an ice festival, or see the northern lights. In parts of British Columbia, the snow doesn't stay long and you can golf all year!

       ฤดูหิมะตกในเดือนพฤศจิกายน มีอุณหภูมิที่ลดลง จะมีเวลาในแต่ละวันที่สั้นลง แต่สามารถเล่นสกีได้ และไปเที่ยวชมเทศกาลน้ำแข็งหรือมองไปทางทิศเหนือก็จะมองเห็นแสงออร่า ในรัฐบริติชโคลัมเบียไม่มีหิมะตกสามารถเล่นกอล์ฟได้ทั้งปี




Guess Who! 





Guess Who!

               I'm 27 years old. I'm plump and medium height. I have short black hair. I have a white skin. I have thick eyebrows. I'm a friendly and funny person, but sometimes I'm serious. I'm creative and very interested in the Job and Technology.






My Interested



Interested about technology 
 
               I'm interested in technology. I know about the technology. From the beginning, I was the computer enthusiasts. And I like to learn and the advancement of technology is always. And now I'm hopeful that today. I have been working on the technology industry. And now I have been working in the IT Administrator at a company, and I really enjoy it.





วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การบ้านหาคำศัพท์ Network ครั้งที่ 5 นายเอกชัย ไชยวิทย์ รหัสนักศึกษา 2561051542304

คำศัพท์เกี่ยวกับระบบ Network



1. สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) มีลักษณะคล้ายกับสายเคเบิลทีวี คือ มีแกนเป็นทองแดงห่อหุ้มด้วยฉนวน แล้วหุ้มด้วยตาข่ายโลหะ ชั้นนอกสุดเป็นวัสดุป้องกันสายสัญญาณ สายประเภทนี้นิยมใช้มากในเครือข่ายสมัยแรกๆ แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว 


2. สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs) เป็นสายสัญญาณมาตรฐานที่นิยมใช้มากที่สุดในระบบเครือข่ายปัจจุบัน สายสัญญาณจะประกอบด้วยสายทองแดงที่ห่อหุ้มด้วยฉนวน 2 เส้นแล้วบิดเป็นเกลียว เหตุที่บิดเป็นเกลียวก็เพื่อลดสัญญาณรบกวนนั่นเอง

3. สายใยแก้วนาแสง (Fiber Optic) เป็นสายที่ใช้แสงเป็นสัญญาณ และแก้วหรือพลาสติกใสเป็นสื่อนาสัญญาณ ในขณะที่สายคู่เกลียวบิดและสายโคแอ็กเชียลใช้สัญญาณไฟฟ้าและโลหะเป็นสื่อ ข้อเสียของสายสัญญาณประเภทโลหะคือ จะถูกรบกวนจากแหล่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ ได้ง่าย เช่น ฟ้าผ่ามอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น แต่สายใยแก้วนาแสงใช้สัญญาณแสง ดังนั้นจึงไม่ถูกรบกวนโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จึงทาให้สายใยแก้วนาแสงสามารถส่งข้อมูลได้ในอัตราสูงและระยะไกลกว่า แต่การผลิต การติดตั้งและดูแลรักษาจะยุ่งยาก และราคาแพงกว่าสายที่เป็นโลหะ

4. ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครื่องจานวนมากเข้าด้วยกันในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยที่ฮับจะมีพอร์ต (Port) หรือช่องสาหรับต่อสาย RJ-45 เข้ามาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ และทาหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกระจายข้อมูล ไปยังเครื่องอื่นๆ ในระบบเครือข่าย ความเร็วของฮับมีหน่วยเป็น Megabit per second (Mbps)


5. สวิตช์ (Switch) สวิตช์เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายลักษณะเดียวกับฮับและมีหน้าที่คล้ายกับฮับมาก แต่มีความแตกต่างที่วงจรการทางานภายในจะใช้หลักการของวงจรสวิตชิ่งที่สลับการส่งข้อมูลในแต่ละพอร์ตไปมา ไม่ได้แบ่งช่องทางการส่งผ่านข้อมูลเหมือนฮับจึงทาให้แต่ละพอร์ต (Port) มีความสามารถในการส่งข้อมูลได้สูง


6. รีพรีทเตอร์ (Repeater) เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมต่อสายเคเบิล 2 เส้นเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย สายสัญญาญแต่ละชนิดที่เลือกใช้จะมีความสามารถในการขนส่งข้อมูลไปในระยะทางที่จากัดระยะหนึ่ง ตามมาตรฐานของสายสัญญาณแต่ละชนิด จากนั้นสัญญาณข้อมูลจะถูกดูดกลืนไปตามสายทาให้สัญญาณข้อมูลอ่อนลง หากต้องการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายออกไปไกลเกินกว่าสายสัญญาณที่ใช้จะรองรับได้จะต้องใช้รีพีตเตอร์ช่วยในการขยายสัญญาณข้อมูล


7. บริทต์ (Bridge) เป็นอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายของเครือข่ายที่แยกจากกัน แต่เดิมบริดจ์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายประเภทเดียวกัน เช่น ใช้เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายอีเธอร์เน็ตกับอีเธอร์เน็ต (Ethernet)


8. เราท์เตอร์ (Router) เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายซึ่งทาหน้าที่เสมือนสะพานสาหรับเชื่อมต่อเครือข่ายท้องถิ่น หรือระบบเครือข่าย LAN (Local Area Network) เข้ากับระบบเครือข่าย WAN (Wide Area Network) ขนาดใหญ่


9. เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์ระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อนมากกว่าเราท์เตอร์หรือบริดจ์ เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้สามารถเชื่อมต่อระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลใน Data link และ Network Layer ที่แตกต่างกันได้มากกว่า 2 ระบบ การทางานของเกตเวย์ทุกระดับชั้นจะเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/OSI Model


10. File Server  คือ  เซิร์ฟเวอร์จะเป็นผู้จัดการระบบไฟล์บนดิสก์ในเครื่องของตนเอง

การบ้านออกแบบระบบNetwork ตามขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ โดยใช้โปรแกรม Visio นายเอกชัย ไชยวิทย์ รหัสนักศึกษา 2561051542304

ระบบเครือข่ายขนาด เล็ก




ระบบเครือข่ายขนาด กลาง




ระบบเครือข่ายขนาด ใหญ่





วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การบ้านหาคำศัพท์ Network ครั้งที่ 4 นายเอกชัย ไชยวิทย์ รหัสนักศึกษา 2561051542304

คำศัพท์เกี่ยวกับระบบ Network





1. ISO (International Standards Organization) เป็นหน่วยงาน ที่มีหน้าที่พัฒนา มาตรฐานสำหรับ การสื่อสารข้อมูล ในประเทศ และระหว่างประเทศ ในช่วงต้น ทศวรรษ 1970 ISO ได้พัฒนาแบบจำลอง OSI (Open Systems Interconnection ) ขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรฐาน สำหรับการออกแบบอุปกรณ์ ของผู้ผลิตเพื่อที่อุปกรณ์ จากต่างผู้ผลิต สามารถสื่อสารกันได้ แบบจำลอง OSI ประกอบด้วย 7 เลเยอร์ (layer) อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกันสนทนากัน Layer ทั้ง 7 จะสนับสนุนในส่วนฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ รวมทั้งการติดต่อถึงกัน ของทั้งสองข้าง ที่ต้องการสื่อสารเข้าด้วยกัน คือ ด้านส่ง และด้านรับ 
จึงได้เกิดหน่วยงานกำหนดมาตรฐานสากลขึ้นคือ International Standards Organization ขึ้นและทำการกำหนดโครงสร้างทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ในการสื่อสาร ข้อมูลและเป็นระบบเปิด เพื่อให้ผู้ผลิตต่างๆสามารถแยกผลิตในส่วนที่ตัวเองถนัดแต่สามารถนำไปใช้ร่วมกันได้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัยใหม่จะถูกออกแบบให้มีโครงสร้างทีแน่นอน และเพื่อเป็นการลดความซับซ้อน ระบบเครือข่ายส่วนมากจึงแยกการทำงานออกเป็นชั้นๆ (layer) โดยกำหนดหน้าที่ในแต่ละชั้นไว้อย่างชัดเจน แบบจำลองสำหรับอ้างอิงแบบ OSI (Open System Interconnection Reference Model) หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า OSI Reference Model ของ ISO เป็นแบบจำลองที่ถูกเสนอและพัฒนาโดยองค์กร International Standard Organization (ISO) โดยจะบรรยายถึงโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายในอุดมคติซึ่งระบบเครือข่ายที่เป็นไปตามสถาปัตยกรรมนี้จะเป็นระบบเครือข่ายแบบเปิดและอุปกรณ์ทางเครือข่ายจะสามารถติดต่อกันได้โดยไม่ขึ้นกับว่าเป็นอุปกรณ์ของผู้ขายรายใด

2.Application Layer เป็นเลเยอร์บนสุดที่ทำงานไกล้ชิดกับผู้ใช้ การทำงานของเลเยอร์นี้จะเกี่ยวข้องกับโปรโตคอลต่างๆ มากมาย ซึ่งจะมีการใช้งานที่เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป มีบริการทางด้านโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ได้แก่ email, file transfer, remote job entry, directory services นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมฟังก์ชั่นในการเข้าถึงไฟล์และเครื่องพิมพ์ ซึ่งเป็นการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรบนระบบเครื่อข่าย

3. Presentation Layer หน้าที่หลักคือการแปลงรหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นอักขระแบบเดียวกัน เครื่องคอมพิเตอร์ส่วนใหญ่จะใช้รหัส ASCII (American Standard Code for Information Interchange) แต่ในบางกรณีเครื่องที่ใช้รหัส ASCII อาจจะต้องสื่อสารกับเครื่องเมนเฟรมของ IBM ที่ใช้รหัส EBCDIC (Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) ดังนั้น Presentation Layer จะทำหน้าที่แปลงรหัสเหล่านี้ให้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ตรงกัน นอกจากนี้ยังสามารถทำการลดขนาดของข้อมูล (data compression) เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการรับส่ง และสามารถเข้ารหัสเพื่อเป็นการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลได้อีกด้วย

4. Session Layer จากเลเยอร์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าการทำงานต่างๆ จะเกี่ยวพันอยู่เฉพาะกับบิตและข้อมูลเท่านั้น โดยไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสถานะภาพการใช้งานจริงของผู้ใช้แต่อย่างใด ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นที่ Session Layer ในเลเยอร์นี้จะมีการให้บริการสำหรับการใช้งานเครื่องที่อยู่ห่างไกลออกไป (remote login) การถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครื่อง โดยจะมีการจัดตั้งการสื่อสารระหว่าง 2 ฝ่าย เรียกว่า Application Entities หรือ AE ซึ่งเทียบได้กับบุคคล 2 คนที่ต้องการสนทนากันทางโทรศัพท์ โดย Session Layer จะมีหน้าที่จัดการให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการเฝ้า ตรวจสอบการไหลของข้อมูลอย่างเป็นจังหวะ ดูแลเรื่องความปลอดภัยเช่น ตรวจสอบอายุการใช้งานของรหัสผ่าน จำกัดช่วงระเวลาในการติดต่อ ควบคุมการถ่ายเทข้อมูลรวมถึงการกู้ข้อมูลที่เสียหายอันเกิดมาจากเครือข่ายทำงานผิดปกติ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจดูการใช้งานของระบบและจัดทำบัญชีรายงานช่วงเวลาการใช้งานของผู้ใช้ได้

5. Transport Layer ทำหน้าที่เสมือนบริษัทขนส่งที่รับผิดชอบการจัดส่งข้อมูลโดยปราศจากความผิดพลาด ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ การตรวจสอบและแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในข้อมูล คอยแยกแยะและจัดระเบียบของแพ็กเก็ต ข้อมูลให้จัดเรียงลำดับอย่างถูกต้อง และมีขนาดที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังทำการผนวกข้อมูลทั้งหลายให้อยู่ในรูปของ วงจรเดียวหรือเรียกว่าการมัลติเพล็กซ์ (multiplex) และมีกลไกสำหรับควบคุมการไหลของข้อมูลให้มีความสม่ำเสมอ

6. Network Layer เป็นเลเยอร์ที่ทำหน้าที่หลักเกี่ยวข้องกับการหาเส้นทาง (routing) ในการส่งแพคเก็ตจากต้นทางไปยังปลายทาง ซึ่งจะมีการสลับช่องทางในการส่งข้อมูลหรือที่เรียกว่า แพ็กเกตสวิตชิ่ง (packet switching) มีการสร้างวงจรเสมือน (virtual circuit) ซึ่งคล้ายกับว่ามีเส้นทางเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้ติดต่อสื่อสารถึงกันได้โดยตรง การกำหนดเส้นทางการส่งข้อมูลนั้น คอมพิวเตอร์ฝ่ายผู้ส่งอาจทำหน้าที่พิจารณาหาเส้นทางที่เหมาะสมในการส่งข้อมูล ตั้งแต่ต้น หรืออาจใช้วิธีแบบไดนามิกส์ (dynamic) คือแต่ละแพคเก็ตสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้ตลอดเวลา นอกจากนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ฝ่ายผู้ส่งยังมีหน้าที่ในการจัดการเรื่องที่อยู่ของเครือข่ายปลายทางโดยจะมีการแปลงที่อยู่แบบตรรกะ (logical address) ให้เป็นที่อยู่แบบกายภาพ (physical address) ซึ่งถูกกำหนดโดยการ์ดเชื่อมต่อระบบเครือข่าย

7. Data Link Layer เลเยอร์นี้มีจุดประสงค์หลักคือพยายามควบคุมการส่งข้อมูลให้เสมือนกับว่าไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น เพื่อให้เลเยอร์สูงขึ้นไปสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างถูกต้อง วิธีการคือฝ่ายผู้ส่งจะทำการแตกข้อมูลออกเป็นเฟรมข้อมูล (data-frame) โดยจะต้องมีการกำหนดขอบเขตของเฟรม (frame boundary) โดยการเติมบิทเข้าไปยังจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเฟรม จากนั้นทำการส่งเฟรมข้อมูลออกไปทีละชุดและรอรับการตอบรับ (acknowledge frame) จากผู้รับ ถ้าหากมีการสูญหายของเฟรมข้อมูล ซึ่งอาจเนื่องมาจากสัญญาณรบกวนจากภายนอกหรือข้อผิดพลาดอื่นๆ ในกรณีนี้ฝ่ายผู้ส่งจะต้องส่งเฟรมข้อมูลเดิมออกมาใหม่

8. Physical Layer - เป็นชั้นแรกของสื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เป็นชั้นล่างที่สุดของการติดต่อสื่อสาร ทำหน้าที่ส่ง-รับข้อมูลจริง ๆ จากช่องทางการสื่อสาร (สื่อกลาง) ระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ มาตรฐานสำหรับ เลเยอร์ ชั้นนี้จะกำหนดว่าแต่ละคอนเนคเตอร์ (Connector) เช่น RS-232-C มีกี่พิน(pin) แต่ละพินทำหน้า ที่อะไรบ้าง ใช้สัญญาณไฟกี่โวลต์ เทคนิคการมัลติเพล็กซ์แบบต่างๆ ก็จะถูกกำหนดอยู่ในเลเยอร์ชั้นนี้ ซึ่งอาจจะเป็นทั้งแบบที่ใช้สายหรือไม่ใช้สาย ตัวอย่างของสื่อที่ใช้ได้แก่ Shield Twisted Pair (STP), Unshield Twisted Pair (UTP), Fibre Optic และอื่นๆ

9.ANSI (American National Standards Institute) เป็นองค์กรอาสาสมัครที่ไม่มีผลกำไรจากการ ดำเนินงาน ประกอบด้วยกลุ่มนักธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1918 มี สำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค ANSI ทำหน้าที่พัฒนามาตรฐานต่างๆ ของอเมริการให้เหมาะสมจากนั้นจะรับรองขึ้นไปเป็นมาตรฐานสากล ANSI ยังเป็นตัวแทนของอเมริกาในองค์กรมาตรฐานสากล ISO (International Organization for Standardization) และ IEC (International Electrotechnical Commission) ANSI เป็นที่รู้จักในการเสนอภาษาการเขียนโปรแกรม ได้แก่ ANSI C และยังกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีระบบเครือข่ายอีกหลายแบบ เช่นระบบเครือข่ายความเร็วสูงที่ใช้เคเบิลใยแก้วนำแสง SONET เป็นต้น

10. IEFT (Internet Engineering Task Force) เป็นกลุ่มผู้ให้ความสนใจเรื่องระบบเครือข่ายและการเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การเป็นสมาชิกของ IETF นั้นเปิดกว้าง โดยองค์กรนี้มีการแบ่งคณะทำงานออกเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมุ่งสนใจเฉพาะในเรื่อง ต่างๆ กัน เช่น การกำหนดเส้นทางการส่งข้อมูล ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบการออกอากาศข้อมูล (Broadcasting) เป็นต้น นอกจากนี้ IETF ยังเป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำ คุณสมบัติเฉพาะที่เรียกว่า RFC (Requests for Comment) สำหรับมาตรฐานของ TCP/IP ที่ใช้บนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอีกด้วย

11. W3C (World Wide Web Consortium) ก่อตั้งในปี ค.ศ.1994 โดยมีเครือข่ายหลักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น โดยมีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานของเว็บ ข้อเสนอที่ได้รับการพิจารณาและรับรองโดย W3C จะเป็นมาตรฐานในการออกแบบการแสดงผลเว็บเพจ เช่น Cascading, XML, HTML เป็นต้น




วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การบ้านหาคำศัพท์ Network ครั้งที่ 3 นายเอกชัย ไชยวิทย์ รหัสนักศึกษา 2561051542304

คำศัพท์เกี่ยวกับระบบ Network


1. ADDRESS
แปลตรงตัวหมายถึงที่อยู่ อาจหมายถึงที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต หรือ ที่อยู่ของอีเมล์ 

2. AUTHORING TOOL
เครื่องมือใช้ในการสร้างเอกสารจำพวก HTML เพื่อใช้สำหรับเผยแพร่ใน www

3. BACKBONE
การเชื่อมต่อข้อมูลด้วยความเร็วสูง สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ เครือข่าย

4. BRIDGE
เป็นอุปกรณ์ตัวหนึ่ง ที่ใช้สำหรับส่งต่อข้อมูลระหว่างสองระบบ หรือเครือข่าย ทำหน้าที่ส่งผ่าน package เท่านั้น

5. BROSWER
โปรแกรมสำหรับใช้เล่น internet เวิลด์ ไวด์ เว็บ (www) ได้แก่ Internter Explorer, Netscape

6. CLIENTS
คอมพิวเตอร์ลูกข่าย ที่เข้ามาขอใช้ข้อมูลจาก server ผ่านทางระบบเครือข่าย

7. COMPOSE
การแต่ง หรือเขียนจดหมาย Email

8. DIAL UP
การติดต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่าย ผ่านทางสายโทรศัพท์

9. EMAIL
Electronic Mail จดหมายอิเลคทรอนิกส์ ใช้สำหรับการรับ-ส่งข้อมูลผ่านทางเครือข่าย


10. GUEST BOOK
สมุดลงนาม ใช้สำหรับแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ web site นั้น ๆ ที่คุณเข้าไปเยี่ยมชม เป็นช่องทางแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง